วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556


ลักษณะบ้านที่น่าอยู่



บ้านที่น่าอยู่อาศัยจะต้องสะอาดถูกสุขทั้งภายในบ้านและบริเวณบ้าน โดยภายในบ้านจะต้องมี  การดูแลรักษาบ้าน ปัด กวาด เช็ดถู เป็นประจำ ไม่มีฝุ่นละอองหรือหยากไย่  เครื่องเรือนเครื่องใช้ปราศจากความ  สกปรกแม้แต่ บริเวณบ้าน  ได้แก่ รั้ว สนาม ทางเดินเข้าบ้านก็ต้องสะอาดร่มรื่น ไม่มีเศษขยะ  เศษใบไม้ร่วงอยู่ตามพื้น
 ควรจัดบ้านให้มีพื้นที่สะดวกสบาย พอเหมาะกับจำนวนคนที่อยู่อาศัยโดยไม่แออัด มีอากาศถ่ายเทสะดวก หน้าต่างหรือช่องทางให้ลมผ่านได้ แสงแดดส่องถึง  มีที่ที่สำหรับให้สมาชิกทำกิจกรรมต่างๆ เช่น  ดูโทรทัศน์ นั่งพักผ่อน มีการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้เป็นที่ เพื่อให้หยิบมาใช้ได้สะดวก และจัดวางเครื่องเรือนไว้พอเหมาะกับห้อง  เพื่อให้ห้องนั้นมีพื้นที่กว้าง สะดวกต่อการทำกิจกรรมต่างๆ
 บ้านที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้าน ได้แก่ การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ  ไม่เกะกะ มีหิ้ง ชั้น หรือตู้สำหรับเก็บของ เพื่อให้บริเวณต่างๆ แลดูโปร่ง   นอกจากนี้ควรมีการจัดตกแต่งภายในบ้าน และบริเวณบ้านให้เหมาะสม เช่น นำสิ่งของมาจัดวางไว้ให้สวยงามและเกิดความสมดุล ใช้สีผ้าม่านที่สวยงาม ตกแต่งให้ดูสบายตา  ก็จะทำให้บ้านมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น





1. ก่อนอื่นต้องคำนวณขนาดของบ้าน จากพื้นที่ใช้สอยภายในที่เราต้องการจริง  เช่น ห้องนอน(กี่ห้อง),ห้องน้ำ(กี่ห้อง),ห้องรับแขก ,ส่วนทานอาหาร,ห้องครัว,ระเบียงหรือชานต่างๆ เมื่อรวมแล้วได้พื้นที่เท่าไร ก็ให้คูณด้วยราคาค่าก่อสร้าง ซึ่งเบื้องต้นเราใช้งบประมาณ ช่วง 12,000-15,000 บาทต่อตารางเมตร เพื่อให้รู้ว่าเราควรจะเพิ่มหรือลด ขนาดของบ้าน แต่อย่าลืมเผื่องบด้านอื่นๆด้วยนะ เช่น ค่าถมที่,รั้วโดยรอบ,ค่าตกแต่งภายในพร้อมเฟอร์นิเจอร์ และ ค่าจัดสวน(ถ้ามี) เป็นต้น เมื่อได้ทราบขนาดของบ้าน พร้อมงบประมาณแล้ว จะได้เริ่มเลือกแบบบ้าน ให้เหมาะสมกันต่อไป
2. เลือกแบบบ้านให้เหมาะสมกับรสนิยม และ การใช้งาน (Style & Function) ซึ่งบริษัทฯรับสร้างบ้านต่างๆจะมีแบบให้เลือกมากมาย ให้ลองจินตนาการว่า ถ้าเราได้เข้าไปอยู่แล้ว ตำแหน่งของห้อง กับ ทิศทางของแสงแดดในช่วงเช้า-บ่าย และ ทิศทางลม เป็นอย่างไร ถ้านำไปปลูกบนที่ดินของเรา ซึ่งสิ่งสำคัญในการเลือกแบบบ้าน เราต้องรู้ว่าตำแหน่งทิศหน้าบ้าน ของเราก่อน (จากบทความที่แล้ว ผมแนะนำให้เลือกซื้อที่ดิน ที่ให้อยู่ในแนวตะวันออก-ตก) เราจะมาลองวิเคราะห์แบบบ้าน 2 ชั้น แบบหนึ่ง โดยจะใช้เพียงแบบเดียวแต่จะเพิ่มแบบกับด้าน มาร่วมพิจารณาด้วยกัน ถ้าการหันทิศหน้าบ้าน ที่แตกต่างกัน ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร พิจารณาร่วมกันดูนะครับ



ความสำคัญของฮวงจุ้ย รอบบ้าน เมื่อเราหาที่ดิน ที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ควรตรวจดู ฮวงจุ้ยรอบบ้าน หรือ สิ่งแวดล้อมภายนอก ที่อยู่รอบๆที่ดินว่าเป็นอย่างไร จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไร
1. บ้านที่มีหลังบ้าน และ ข้างบ้าน มีตึกสูงกว่าดี แต่อย่าชิดเกินไป
2. บ้านสองบ้านที่เล็งกัน บ้านฝั่งที่ต่ำกว่านับว่า ไม่เป็นมงคล
3. บ้านที่สร้างตามทางยาว โดยกินพื้นที่แคบและไม่ลึก ไม่เป็นมงคล
4. บ้านของลูก ๆ ไม่ควรสร้างในลานบ้านของพ่อแม่ ครอบครัวจะยากจนลง
5. บ้านที่มีตึกสูงอยู่ใกล้ แสดงถึงมีผู้มาให้ความช่วยเหลือคุ้มครอง
6. บ้านที่อยู่รวมกัน ห้ามเอาหลังคาชนกันจะไม่เป็นมงคล
7. บ้านชั้นเดียว ถ้าคับแคบให้ปลูกเพิ่มเติม
8. บ้านร้างที่อยู่ใกล้บ้านใหม่ จะทำให้บ้านใหม่ไม่ดีไปด้วย
9. หน้าบ้านมีกองขยะ หรือสิ่งรก ๆ ไม่ดี
10. บ้านถ้าอยู่ใกล้สุสานไม่ดี
11. บ้านติดโรงพยาบาลไม่ดี การค้าสะดุด การเงินเป็นหนี้ สุขภาพไม่ดี
12. บ้านที่อยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง อันตรายเวลาฝนตก บ้านอยู่ตรงข้ามโรงไฟฟ้าไม่ดี
13. บ้านที่อยู่ระหว่าง ช่องว่างของตึกสูง เรียกว่าลมพิฆาต ไม่ดี วิบัติรุนแรง
14.หน้าบ้านห้ามมีศาลเจ้า โบสถ์ วัด




คุณค่าในแง่ความรู้สึกเช่นนี้ส่งผลทำให้บ้านชนิดนี้เวลาคิดจะขาย ก็จะขายได้ง่ายกว่าบ้านโดยทั่วไป แถมยังได้ราคาดีด้วยต่างหาก

            “ทำอย่างไรจึงจะสามารถเป็นเจ้าของบ้านน่าอยู่ได้” จึงเป็นคำถามที่ทุกคนต้องการทราบคำตอบกัน

            บางคนถึงกับอุทิศเวลาเพื่อตามล่าหาบ้านชนิดนี้กับแบบพลิกแผ่นดิน แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอซักที

            ที่จริงแล้วการเป็นเจ้าของ “บ้านน่าอยู่” สักหลัง กลับหาใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอย่างที่หลายคนคิดกันแต่อย่างใด เพราะบ้านประเภทนี้สามารถพบเห็นได้ทุกหนแห่งและเกิดขึ้นกับบ้านได้ทุกหลัง

            แม้แต่บ้านหลังเก่าซึ่งสมาชิกในครอบครัวต่างลงความเห็นว่าไม่น่าอยู่ ไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ ก็ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเนรมิตให้กลายเป็นบ้านน่าอยู่ได้ทั้งสิ้น

            เพียงแค่อาศัยเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบบางอย่างเท่านั้น

            บ้านที่จะทำให้ทุกคนเราเกิดความสุขในการอยู่อาศัยได้ดี จะต้องมีคุณลักษณะต้องตามองค์ประกอบหลัก 8 ประการ ดังนี้

            1. บ้านต้องมีความสะดวก คือ สะดวกกับผู้อยู่อาศัยในการทำกิจกรรมส่วนตัวและส่วนรวม และเกิดการประหยัดทั้งเวลา แรงงานและเงิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความสะดวกจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ?

           
 *เลือกทำเลบ้านอย่างเหมาะสม

            โดยเน้นให้อยู่ใกล้สถานที่ซึ่งผู้อยู่อาศัยต้องไปประจำ เช่น ที่ทำงานโรงเรียน ตลาด หรือ ห้างสรรพสิ้นค้า ฯลฯ และมีความปลอดภัยในการเดินทางด้วย เช่น ตัวบ้านจะต้องอยู่ใกล้ถนนใหญ่ ไม่ลึกหรือเปลี่ยวจนเกินไป นอกจากนี้ต้องอยู่ในย่านที่มีเพื่อนบ้านและชุมชนที่ดีด้วย ?

            
*การจัดวางผังบ้านสะดวกในการเดินทางเข้าออก

            เช่น ระยะห่างจากประตูรั้วกับประตูบ้าน ระยะห่างจากตัวบ้านไปยังบริเวณซักล้าง ตากผ้า และครัวหรือโรงรถที่แยกอยู่ต่างหาก ?

           
 *แบ่งเนื้อที่และจัดเครื่องเรือนให้สอดคล้องกับกิจกรรมในบ้าน และไม่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอึดอัด

               เช่น กรณีห้องกว้างก็ไม่ควรจัดเครื่องเรือนกระจัดกระจาย ซึ่งจะทำให้เปลืองแรงและเสียเวลาเกินความจำเป็น ?

            
*จัดบริเวณทำงานในบ้านแต่ละจุดให้สะดวก

            โดยเน้นให้สามารถทำงานตามลำดับขั้นตอนของงานได้ง่าย ?

            
*เลือกใช้เครื่องเรือนที่ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด ?            *จัดเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ให้เป็นที่เป็นทาง

               โดยจัดเก็บไว้ในห้องเก็บของ ตู้ หรือชั้นวางของ เพื่อให้บ้านดูสะอาด ไม่รกรุงรัง มีระเบียบ และไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหา ?

             
*จัดทางสัญจรในบ้านให้มีทางเดินติดต่อถึงกันสะดวก
            ช่น ระหว่างห้องนอนพ่อแม่กับห้องนอนลูก ระหว่างห้องครัวกับห้องกินข้าว และห้องนอนกับห้องน้ำ ฯลฯ

            2. บ้านต้องอยู่แล้วสบาย

            
*คือต้องทำให้เกิดความสบายกาย สบายตา และสบายใจได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งปกติแล้วความสบายจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

            วางตัวบ้านให้เหมาะกับทิศทางของแดดและลม โดยเน้นให้มีการหลบอแดดแต่มีการรับลม

            
*บ้านควรมีวัสดุที่ป้องกันความร้อนจากภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนโดยตรงจากแสงอาทิตย์ หรือจากการสะท้อนหรือการแผ่รังสีความร้อน

            
*มีประตู – หน้าต่างได้สัดส่วนกับพื้นห้อง และอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการรับลมและถ่ายเทอากาศ

            
  *รูปร่างของเครื่องเรือนเหมาะสมกับการใช้งานและมีขนาดได้ส่วนกับผู้ใช้ เช่น เลือกโต๊ะรีดผ้าที่สามารถปรับความสูงต่ำได้ ซึ่งจะช่วยได้รีดผ้าได้อย่างสบาย

            
*มีความสงบเงียบ กิจกรรมบางอย่างต้องการความเงียบ เช่น ห้องนอนหรือมุมงาน ดังนั้นห้องเหล่านี้ต้องห่างจากกิจกรรมที่มีเสียงดัง เช่น ห้องรับแขกเป็นต้น

            
*ตกแต่งหน้าต่าง ผนัง และมุมห้อง โดยตกแต่งหน้าต่างด้วยผ้าม่านเพื่อความสวยงาม กันแสง และเพื่อความเป็นส่วนตัว ผนังตกแต่งด้วยภาพหรือกระจกเงาส่วนมุมห้องให้ตั้งกระถางดอกไม้ประดับเพื่อความสวยงามและสบายตา 





 จากการศึกษาของ ดร.เวอร์อิเนีย คัตเลอร์ เสนอไว้ว่าสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังว่าจะได้รับจากที่อยู่อาศัยมีดังนี้
     1.1 ความสบาย มีระดับอุณหภูมิพอเหมาะไม่ร้อนจนเกินไป มีแสงสว่างพอสมควร และมีเครื่องเรือนที่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์
     1.2 ความสะดวก มีความสะดวกในการเดินไปมา มีเครื่องอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆเหมาะสมและเพียงพอต่อการใช้งาน
     1.3 ความเป็นสัดส่วน มีการจัดการบริเวณต่างๆของสถานที่เป็ฯสัดส่วนและมีส่วนแยกจากกัน เช่นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องพักส่วนตัว ฯลฯ
     1.4 ความสนใจส่วนบุคคล เป็นพื้นที่ให้สมาชิกได้ทำงานที่สนใจเป็นพิเศษ เช่น งานอดิเรก และงานกิจกรรมของครอบครัว
     1.5 มิตรภาพ ห้องที่เป็นศูนย์รวมทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ 
เล่นเกมส์ ฯลฯ
     1.6 สุขภาพ บ้านที่ถูกสุขลักษณะจะทำให้สมาชิกมีสุขภาพที่ดี ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพทางกาย
     1.7 ความปลอดภัย ควรมีแผนจัดการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัยต่างๆอย่างเหมาะสม
     1.8 ความสวยงาม เน้นเรื่องความสะอาดและดูแลรักษาซ่อมแซมอุปกรณ์ภายในบ้านให้ดีอยู่เสมอ
     1.9 การประหยัด มีการจัดการเพื่อให้เกิดการประหยัด เช่น ประหยัดเวลา แรงงาน และประหยัดพลังงาน
     1.10 ที่ตั้ง การเลือกทำเล สภาพแวดล้อม การเดินทางคมนาคมที่สะดวกปลอดภัยและมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น ไม่มีกอลขยะ หรือชุมชนแออัด




 2.ลักษณะบ้านที่น่าอยู่      การพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยมีหลักพิจาณา ดังนี้
     2.1 ทำเลที่ตั้ง
     ควรมีการสำรวจดูหลายๆแห่ง แล้วนำมาพิจารณาเปรียบเทียบในประการต่างๆ เกี่ยวกับความสะดวกในการเดินทาง เช่น ไปทำงาน ไปเรียน ไปวัด ไปติดต่อส่วนราชการ ไปตลาด และสภาพแวดล้อมใกล้เคียง เช่น เพื่อนทางด้านสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย

     2.2 แบบเช่าหรือแบบซื้อ
           2.2.1 แบบเช่า เป็นการอยู่อาศัยระยะสั้นๆชั่วคราว ได้แก่ ห้องแถว บ้านเช่าเป็นหลัง ห้องแบ่งเช่า อพาร์ตเมนต์ แฟลต เป็นต้น
                    1.) ข้อมูลที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อตัดสินใจเช่า
                        - ขนาดและพื้นที่ใช้สอย
                        - ค่าเช่าต่อเดือน
                        - เงินประกันและเงินล่วงหน้าเพื่อเข้าอยู่อาศัย
                        - อัตราค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าโทรศัพท์
           2.2.2 แบบซื้อ เป็นที่อยู่อาศัยระยะยาวของครอบครัว เช่น บ้านจัดสรร ตึกแถว บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมหรืออาคารชุด
                   2.) ข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณาเลือกซื้อ
                        - ความสะดวกในการเดนทาง
                        - ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เช่น ยามรักษาการณ์ และการทำความสะอาด
                        - การวางผังโครงการที่ดี
                        - ระบบสาธารณูปโภคที่ดี
                        - แบบแปลน วัสดุก่อสร้างและคุณภาพในการก่อสร้างที่ดี
                        - ราคา หากเป็นการผ่อนชำระควรจะต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยและการชำระเงิน




 3.หลักการดูแลรักษาบ้านให้น่าอยู่ มีหลักในการดูแลรักษาบ้านให้น่าอยู่ แบ่งออกได้ดังนี้
       3.1 การทำความสะอาด
       การทำความสะอาด เป็นการทำความสะอาดบ้านที่อยูอาศัยในส่วนต่างๆของอาคาร ของห้อง รวมถึงเครื่องเรือนและอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้าน การทำความสะอาดบริเวณบ้าน เช่น สนามหญ้า บริเวณรอบๆบ้าน ไม้ดอกไม้ประดับและการจัดขยะมูลฝอย
       3.2 การจัดตกแต่งที่อยู่อาศัย
       การจัดตกแต่งที่อยู่อาศัย มีหลักในการจัด ดังนี้
              3.2.1 ความสวยงาม ใช้หลักการทางศิลปะ พิจารณาเครื่องเรือนเครื่องประดับในบ้าน เช่น รูปทรง โทนสี ความเข้ากันอย่างเหมาะสม
              3.2.2 ความสะดวก พิจารณาการใช้สอยสามารถหยิบใช้ได้สะดวก เหมาะสมกับเนื้อที่ เครื่องเรือนควรง่ายแก่การทำความสะอาด
             3.2.3 ความสบาย บ้านที่น่าอยู่ ควรประกอบไปด้วย ความสบายกาย และความสบายใจ
             3.2.4 ความปลอดภัย ต้องสามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน มีหลักการพิจารณา ดังนี้
                    1.) บันได ระวังการวางของเกะกะ ความลื่นและแสงสว่าง
                    2.) เครื่องเรือน ระวังความแหลมคม แตกหักง่าย
                    3.) แสงสว่างเพียงพอ เช่นการอ่านหนังสือหรือเย็บผ้า
                    4.) ตู้ยาหรือสารเคมีอันตราย ควรวางไว้ไม่ให้เด็กหยิบได้
                    5.) สวิตซ์ไฟฟ้า อยู่ใกล้ประตูทางเข้าออก
                    6.) พื้นไม่ขัดมันเกินไป โดยเฉพาะหากเปียกก็จะเป็นอันตรายมาก
           3.2.5 ความเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัว ความสงบเฉพาะกรณี เป็นสิ่งที่สมาชิกต้องการ
           3.2.6 ความประหยัด มีหลักการตกแต่งความสวยงามที่เน้นความประหยัด ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
                   1.) นำวัสดุเหลือใช้มาดัดแปลงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
                   2.) เลือกซื้อเครื่องเรือนที่คุ้มค่า ดูแลรักษาซ่อมแซมได้และประหยัดแรงงานในการดูแลรักษา
            3.2.7 ถูกสุขลักษณะ การดูแลรักษาบ้านให้ถูกสุขลักษณะพิจารณาเกี่ยวกับความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย การจัดการขยะมูลฝอย การใช้และดูแลรักษาเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ
            3.2.8 การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ได้แก่ การซ่อมแซมส่วนต่างๆของบ้านและอาคาร เช่นหลังคา ฝาผนัง รวมไปถึงเครื่องเรือนต่างๆ หากไม่สามารถจัดการซ่อมแซมเองได้ควรจ้างช่างมาซ่อมแซมให้สมบูรณ์




 การเลือกที่อยู่อาศัย
 ทำเลที่ตั้ง ใกล้ที่ทำงาน ใกล้โรงเรียน ใกล้ตลาด หรือสวนสาธารณะ ควรหลีกเลี่ยงสลัม / แหล่งทิ้งขยะ / เมรุเผาศพ / เสาไฟแรงสูง / อาคารสูงซึ่งบังทิศทางลม แสงสว่าง และทำให้เสียความเป็นส่วนตัว / บ่อนการพนัน โรงงาน / สถานบันเทิงยามราตรี ฯลฯ และดูสภาพจราจร ระบบขนส่งมวลชน (รถเมล์ รถไฟฟ้า) ว่าเป็นอย่างไร
 รูปลักษณ์และโครงสร้างภายนอกของบ้าน ออกแบบสวยงามหรือไม่ สภาพถนนหน้าบ้านเป็นอย่างไร มีสนามหญ้า ต้นไม้ สวนหย่อม ที่จอดรถ แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ เช่น สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น ฯลฯ หรือไม่ มีรอยแตก ร้าว รั่วหรือไม่ ทั้งผนัง หลังคา ฯลฯ ระบบท่อระบายน้ำเรียบร้อยดีหรือไม่ มีการต่อเติมอะไรที่เพิ่มความเสี่ยงเกี่ยวกับโครงสร้างอาคารหรือไม่
 สภาพตึกและห้องเก่าหรือใหม่ ขนาดห้องใหญ่พอหรือไม่ ประตูบ้านและห้องแข็งแรง ปิด-เปิดสะดวกหรือไม่ สภาพกลอนประตูแข็งแรงดีหรือไม่ มีหน้าต่างมากพอหรือไม่ พื้นบ้านทำด้วยอะไร ไม้ พรมหรือกระเบื้อง ฯลฯ ระบบแสงสว่าง ประปา ปั๊มน้ำ ดีหรือไม่ และราคาเหมาะสมกับทำเลหรือไม่

เราจะต้องดูแลบ้านเพื่อให้บ้านนั้นเป็นบ้านที่น่าอยู่ บ้านที่ทุกคนในครอบครัวจะมีความสุขกันมากที่สุด  มีความสะดวกสบายทั้งกายและใจ




ความสำคัญของฮวงจุ้ย รอบบ้าน เมื่อเราหาที่ดิน ที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ควรตรวจดู ฮวงจุ้ยรอบบ้าน หรือ สิ่งแวดล้อมภายนอก ที่อยู่รอบๆที่ดินว่าเป็นอย่างไร จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไร
1. บ้านที่มีหลังบ้าน และ ข้างบ้าน มีตึกสูงกว่าดี แต่อย่าชิดเกินไป
2. บ้านสองบ้านที่เล็งกัน บ้านฝั่งที่ต่ำกว่านับว่า ไม่เป็นมงคล
3. บ้านที่สร้างตามทางยาว โดยกินพื้นที่แคบและไม่ลึก ไม่เป็นมงคล
4. บ้านของลูก ๆ ไม่ควรสร้างในลานบ้านของพ่อแม่ ครอบครัวจะยากจนลง
5. บ้านที่มีตึกสูงอยู่ใกล้ แสดงถึงมีผู้มาให้ความช่วยเหลือคุ้มครอง
6. บ้านที่อยู่รวมกัน ห้ามเอาหลังคาชนกันจะไม่เป็นมงคล
7. บ้านชั้นเดียว ถ้าคับแคบให้ปลูกเพิ่มเติม
8. บ้านร้างที่อยู่ใกล้บ้านใหม่ จะทำให้บ้านใหม่ไม่ดีไปด้วย
9. หน้าบ้านมีกองขยะ หรือสิ่งรก ๆ ไม่ดี
10. บ้านถ้าอยู่ใกล้สุสานไม่ดี
11. บ้านติดโรงพยาบาลไม่ดี การค้าสะดุด การเงินเป็นหนี้ สุขภาพไม่ดี
12. บ้านที่อยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง อันตรายเวลาฝนตก บ้านอยู่ตรงข้ามโรงไฟฟ้าไม่ดี
13. บ้านที่อยู่ระหว่าง ช่องว่างของตึกสูง เรียกว่าลมพิฆาต ไม่ดี วิบัติรุนแรง

14.หน้าบ้านห้ามมีศาลเจ้า โบสถ์ วัด



ลักษณะบ้านที่ควรหลีกเลี่ยง สิ่งแวดล้อมรอบบ้านเป็นที่รกร้าง ว่างเปล่า บ้านแบบนี้มักจะไม่มีพลังชี่ไหลเวียนอยู่ในบริเวณนั้น ทำให้ไม่มีพลังไหลผ่าน ไม่มีโชคลาภเข้าบ้าน ถ้าหมู่บ้านนั้นค่อนข้างร้าง แล้วมีบ้านหลังหนึ่งมีฮวงจุ้ยดีมาก หลังนั้นจะดูดเอาพลังซี่ไปหมดทำให้บ้านของเราไม่มีพลัง ควรเลือกดูซื้อบ้านโครงการที่สภาพแวดล้อมดี ลมพัดผ่าน บ้านที่อยู่อยู่ในทิศทางของลมจะดีเยี่ยม

ลักษณะบ้านที่ควรหลีกเลี่ยง เปิดประตูบ้านแล้วเจอบันไดบ้านเลย บ้านแบบนี้ ตามหลักฮวงจุ้ยเป็นบ้านที่เก็บเงินเก็บทองไม่อยู่ มีเท่าไหร่มีเรื่องต้องจับจ่ายใช้สอยออกไปทุกที หากหลีกเลี่ยงแบบบ้านแบบนี้ไม่ได้ วิธีแก้ให้นำฉาก หรือม่านมากั้นหน้าบันไดไว้ เพื่อไม่ไห้เงินไหลออก

ลักษณะบ้านที่ควรหลีกเลี่ยง ประตูหรือพื้นที่เข้าบ้านแคบ ทำให้พลังปราณหรือพลังซี่ไม่มีพื้นที่ในการกักเก็บพลัง เพราะพลังปราณและพลังซี่ต้องการพื้นที่ขนาดกว้างหน้าบ้านในการกักเก็บพลังและการไหลเวียนเพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน หากบ้านใดมีต้นไม้ หรือสิ่งของวางขวางพลังซี่ควรเอาออก เพราะหน้าบ้านควรเปิดกว้างในการรับพลัง

ลักษณะบ้านที่ควรหลีกเลี่ยง ประตูและหน้าต่างมีมากเกินไป ลักษณะบ้านแบบนี้จะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ วิธีแก้ควรติดม่าน


ลักษณะบ้านที่ควรหลีกเลี่ยง รั้วบ้านโปร่งโล่ง บ้านสมัยใหม่มักเน้นรั้วระแนง รั้วเตี้ย เพื่อความสวยงาม และโชว์ตัวบ้าน ลักษณะบ้านแบบนี้จะทำให้เจ้าของบ้านเก็บกักเงินทองไม่อยู่ วิธีแก้ควรทำรั้วรอบบ้านให้สูงขึ้น หรือปลูกต้นไม้ช่วยเป็นกำแพง แต่ควรเปิดหน้าบ้านเอาไว้เพื่อรับทรัพย์





 เฮือน(เรือน)ไทดำแบบดั้งเดิมมีลักษณะที่โดดเด่นเป็น เอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม คือ มีหลังคาทรงโค้งรูปกระดองเต่า มุงหญ้าคายาวคลุมลงมาเกือบถึงพื้นดินแทนฝาเรือน เพื่อป้องกันลม ฝน และอากาศที่หนาวเย็น(ในอดีตชุมชนไทยดำตั้งอยู่ในแถบอากาศหนาว) ตัวเรือนยกใต้ถุนสูงเพื่อประโยชน์ในการเก็บสิ่งของเครื่องใช้ เป็นที่ประกอบการงาน เช่น ทอผ้า ตำข้าว เป็นคอกเลี้ยงสัตว์ มักมีแคร่ไว้นั่งนอนและเป็นที่รับแขกในเวลากลางวัน เสาเรือนทำด้วยไม้ทั้งต้น มีง่ามไว้สำหรับวางคาน ยอดจั่วประดับด้วยไม้แกะสลักเป็นกิ่งคล้ายเขาควายไขว้กัน เรียกว่า “ขอกุด” พื้นเรือนทำด้วยไม้ไผ่ทุบเป็นชิ้นๆแผ่ออกติดกัน ภายในตัวบ้านเป็นพื้นที่โล่งแบ่งส่วนสำหรับที่นอน ครัว และเป็นส่วนที่บูชาผีเรือน เรียกว่า “กะล้อห่อง” มีชานแดดยื่นออกจากตัวบ้าน มีบันไดขึ้นเรือน 2 ทาง มียุ้งข้าวที่สร้างเป็นเรือนยกเสาสูงไว้ข้างที่พักอาศัย คนไทดำจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆกัน

          ต่อมารูปแบบเรือนไทดำได้ เปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามยุคสมัย หญ้าคาที่นำมาทำวัสดุมุงหลังคาหายาก ไม่คงทน ทั้งยังเป็นวัสดุที่ง่ายต่อการติดไฟ เนื่องจากบ้านไทดำปลูกใกล้กันเป็นกลุ่ม หากเกิดไฟไหม้จะลุกลามไปบ้านอื่นๆได้รวดเร็ว ลักษณะบ้านและวัสดุที่ใช้จึงเปลี่ยนเป็นไม้เนื้อแข็ง หลังคาเป็นสังกะสี มีการแบ่งกั้นห้องตามลักษณะการใช้สอย




           ปัจจุบันเรือนไทดำมีลักษณะผสม ผสานระหว่างเรือนแบบดั้งเดิมกับเรือนสมัยใหม่ บ้างก็ใช้วัสดุผสมของปูนกับไม้ บางบ้านก็เป็นรูปทรงสมัยใหม่ไม่มีเอกลักษณ์ของไทยดำอยู่เลย แต่ไม่ว่าลักษณะที่อยู่อาศัยของคนไทยดำจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทุกบ้านจะมีห้องสำหรับบูชาผีเรือน นับเป็นความน่าเสียดายว่าลักษณะที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มไทดำ แท้ๆกำลังจะสูญหาย แม้ที่ตำบลหนองปรงจะมีเรือนไทยดำแบบดั้งเดิมอยู่ แต่ก็เป็นเพียงเรือนที่สร้างจำลองไม่มีผู้อยู่อาศัย




บ้านเป็นสถานที่สำคัญที่เด็กควรรู้จักทั้งลักษณะ ส่วนประกอบ ที่ตั้ง และประโยชน์ของบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ให้ความปลอดภัย และให้ความสุขที่เกิดจากความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัว และการปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ที่ดีและเหมาะสม การสอนเรื่องบ้านมีความสำคัญต่อเด็กดังนี้

  • บ้านคือที่อยู่ของคนเรา เป็นปัจจัยหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นของคนเรา เป็นที่เราได้ทำกิจกรรมจำเป็นในชีวิตของคนเรา ได้แก่ กิน นอน ขับถ่าย ชำระร่างกาย เล่น ใช้ฝึกทักษะ การทำงานบ้าน เป็นต้น
  • บ้านเป็นที่อยู่ที่ให้ความปลอดภัย บ้านจะช่วยป้องกันแสงแดด ฝน อากาศ สัตว์ร้าย หรือบุคคลที่แปลกหน้าที่เราไม่ต้อง การให้มาเกี่ยวข้องเรา
  • บ้านเป็นศูนย์รวมของสมาชิกทุกคน มีบุคคลสำคัญสำหรับเด็กมาอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์กันคือ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท และบางครอบครัวอาจจะมีบุคคลอื่นมาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กและทำงานบ้าน บุคคลเหล่านั้นจะให้ความรักและเป็นผู้อบรม สั่งสอนให้เด็กเพราะต้องทำหน้าที่ ถ่ายทอดประสบการณ์ วัฒนธรรมและค่านิยมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
  • บ้านเป็นส่วนหนึ่งในชุมชน มีรูปร่าง ลักษณะ สถานที่ตั้ง บ้านทุกหลังที่ก่อสร้างมานั้น จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วย งานภาครัฐ เพื่อความเป็นระเบียบของชุมชน และทุกบ้านจะมีทะเบียนบ้านที่ระบุ เลขที่บ้านและสถานที่ตั้ง ตามกฎหมาย ตามระเบียบ ซึ่งเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตในฐานะเป็นพลเมืองดี และเสริมสร้างความดีงามแก่จิตใจ





















  • เด็กได้เกิดความรู้สึกมั่นคงอบอุ่นใจ เพราะได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของคนเรา ได้แก่ ปัจจัยสี่ และความรัก ปัจจัยสี่คือ บ้านหรือที่อยู่อาศัย ส่วนอีกสามปัจจัยคือเครื่องนุ่งห่ม อาหาร และยารักษาโรคนั้น จะเก็บรักษาไว้ในบ้าน ทุกครัวเรือนจะมีสิ่งเหล่านี้เพราะเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับทุกคน ด้านความรักเกิดจากพ่อแม่ได้ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจและเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีงามให้แก่ลูก เพราะภายในบ้านมีความสัมพันธ์อันดีงามของพ่อแม่ลูก
  • เด็กได้รับขัดเกลาทางสังคม (Socialization ) การขัดเกลาทางสังคมเป็นการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมของสังคมหนึ่งไปยังสังคมยุคหนึ่ง เป็นกระบวนการที่สมาชิกแรกเกิดถูกจำกัดอยู่ในกรอบสังคมที่เป็นระเบียบ เพื่อให้เรียนรู้บทบาทของสังคมและทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เด็กจะได้รับการขัดเกลาทางสังคมทั้งทางตรงคือการสอนจากพ่อแม่ และทางอ้อมคือการสังเกตเลียนแบบ การขัดเกลาทางสังคมเพื่อให้เด็กเป็นไปตามความมุ่งหวังดังนี้
    • เด็กจะเป็นผู้มีระเบียบ วินัย มีผลต่อบุคลิกภาพและความประพฤติของคนเรา จนเกิดความเคยชินและจะกระ ทำไปโดยไม่รู้ตัว
    • เด็กจะเป็นคนที่มีความมุ่งหวัง ที่ช่วยให้เกิดกำลังใจทำตามระเบียบวินัย
    • เด็กได้รู้จักบทบาทและทัศนคติต่างๆ สามารถแสดงบทบาทของตนเองอย่างเหมาะสมตามวาระและโอกาสต่างๆ เริ่มจากบทบาทของลูกต่อพ่อแม่ คือลูกควรเชื่อฟังพ่อแม่ ต่อมาเด็กไปโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้บทบาทที่เปลี่ยนไป เป็นบทบาทของนักเรียนกับครู เป็นนักเรียนจะต้องตั้งใจเรียน

























  • เล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้าน ที่ตั้ง ลักษณะรูปร่างของบ้านให้เด็กฟัง อาจให้เด็กถามข้อมูลจากผู้ปกครอง และเล่าให้เพื่อนฟังว่า บ้านของเด็กปลูกเมื่อไหร่ หรือใครอยู่มาก่อน (หากเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ฯลฯมาก่อน) อยู่ในชุมชนอะไร หรือบอกรายละ เอียดของสถานที่ตั้งบ้าน
  • เล่านิทานให้เด็กได้รู้จักความสำคัญของบ้านและลักษณะของบ้าน เช่น เรื่องลูกหมูสามตัว ความว่า ลูกหมูสามตัวโตแล้ว แม่ให้ลุกหมูไปสร้างบ้านของตนเอง หมูตัวที่ 1 ปลุกบ้านด้วยฟางข้าว ไม่แข็งแรง เมื่อหมาป่ามาจะจับหมูกินก็พังบ้านได้ง่ายดาย หมูตัวที่ 1 จึงหนีไปขออยู่กับหมูตัวที่สองที่สร้างบ้านด้วยไม้ หมาป่าก็ตามมาพังบ้านหมูตัวที่สองอีก บ้านก็พังลง หมูทั้งสองตัวหนีหมาป่าไปขออยู่ที่บ้านหมูตัวที่สามที่สร้างบ้านด้วยอิฐแข็งแรง หมาป่าตามมาจะจับกินอีก หมูทั้งสามตัว ต้มน้ำร้อนไว้ เมื่อหมาป่าปีนลงมาทางปล่องไฟ แล้วพลาดตกลงมาในหม้อน้ำร้อน หมาตกใจกลัววิ่งหนีเข้าป่าหายไป
  • ให้เด็กวาดภาพบ้านและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในบ้านและรอบบ้าน ระบายสี ปั้นดิน พับกระดาษเป็นบ้าน ประดิษฐ์วัสดุง่ายๆเป็นบ้าน ทำหนังสือทำมือเรื่องบ้านของเรา แล้วให้เด็กเล่าเรื่องและบอกสิ่งต่างๆที่มีอยู่ปัจจุบันที่สังเกตเห็น และสิ่งที่มีความเป็นมา เช่น ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้พ่อปลูกไว้ให้เราไว้กินผล เล้าไก่บ้านเรามีไก่หลายตัว ตู้หนังสือนี้หนูช่วยแม่จัดให้เรียบ ร้อย ฯลฯ
  • เล่นบทบาทสมมุติเป็นพ่อ แม่ ลูก ในมุมบ้านเมื่อทำกิจกรรมเสรี
  • เด็กต่อไม้บล็อกหรือกล่องกระดาษยาสีฟัน กล่องสบู่หรือกล่องอื่นๆที่เป็นของเหลือใช้ มาแทนบล็อกไม้ โดยอัดกระ ดาษหนังสือพิมพ์ลงในกล่องให้แน่น แล้วห่อหรือปะติดด้วยเศษกระดาษสีต่างๆ เป็นบ้าน ในกิจกรรมสร้างสรรค์
  • ร้องเพลง หรือท่องคำคล้องจอง เกี่ยวกับบ้านและความผูกพันระหว่างคนในบ้านในกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ


























  • สร้างความมั่นใจให้ลูกว่าการมีบ้านคือสิ่งที่ดีงาม พ่อแม่ควรแสดงความสุขเมื่ออยู่บ้าน มีลูกอยู่ด้วย มีเรื่องราวสนทนาบอกเล่ากันและกันเสมอ ถ่ายรูปคนในครอบครัวที่บ้านในบรรยากาศต่างๆ แล้วนำมาประดับ ตกแต่งบ้าน หรือนำภาพของบุคคลต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันในฐานะเครือญาติ ภาพพ่อแม่ลูก ภาพปู่ย่าตายาย ภาพลูกตั้งแต่แรกเกิด ฯลฯ ภาพจะแสดงเรื่องราวและให้ความหมายถึงความรัก ความผูกพันที่มีต่อกันของคนในบ้าน
  • มอบหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบงานบ้านง่ายๆที่เด็กสามารถทำได้ตามวัย เช่น ปัดฝุ่น พับผ้า ตากเสื้อ นำเสื้อผ้าไปใส่ถังซักผ้า เป็นต้น
  • บ้านจะมีความหมายเมื่อทุกคนในบ้านมีกิจกรรมร่วมกัน เช่น รับประทานอาหารร่วมกัน สนทนา ดูแลทุกข์สุขของคนในบ้าน ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน พี่ช่วยป้อนข้าวหรือเล่นกับน้อง ไปจ่ายอาหารหรือซื้อของใช้ด้วยกัน ร้องเพลงและเล่นเกมด้วยกัน พ่อเล่านิทานให้ลูกๆฟัง ปู่ย่าเห่กล่อมหลานนอน ชวนลูกทำสิ่งของเครื่องเล่น เครื่องใช้ง่ายๆ เช่น ผูกชิงช้าให้ลูก เล่น ทำกรงไก่ ทำรังให้แม่ไก่ออกไข่ ทำไม้กวาดจากทางมะพร้าว ฯลฯ จัดแต่งบ้านร่วมกัน เช่น เปลี่ยนดอกไม้ในแจกัน สวมปลอกหมอนอิง จัดโต๊ะ วางรูปภาพ จัดสวน เปลี่ยนดินปลูกต้นไม้ ฯลฯ
  • บ้านแต่ละหลังจะมีบุคคลที่อยู่ร่วมกันอย่างน้อยที่สุดมีพ่อแม่ลูก และอาจจะมีลูกสองคน เป็นพี่ น้องกัน นั่นคือในบ้านจะมีบุคคลหลายวัย สำหรับในสังคมไทยจะมีวัฒนธรรมการยกย่องนับถือผู้อาวุโสกว่า โดยเฉพาะเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เพราะการที่เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เราต่างเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นและสิ่งของมากมาย เราจึงควรกตัญญูคนที่อุปการะเรา เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ดังนั้น การอบรมเรื่องนี้ด้วยการสั่งสอนทางวาจาและการประพฤติต่อกันให้เด็กเรียนรู้ เป็นการขัดเกลาทางสังคมให้แก่เด็ก
  • แต่ละบ้านจะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเสมอ แต่การแสดงออกความสนิทสนมมากน้อยนั้น จะเป็นไปตามสภาพ แวดล้อมของที่ตั้ง ตลอดจนวัฒนธรรมของชุมชนนั้นๆ แต่คุณธรรมพื้นฐานที่แต่ละบ้านควรมี คือความเกรงใจและความเอื้อ เฟื้อที่ควรมีต่อกัน บ้านทุกบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข





























การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องบ้านเป็นเรื่องที่กำหนดในสาระที่ควรรู้สำหรับเด็กปฐมวัย เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ที่ครูต้องจัดกิจกรรมให้เด็ก ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 เรื่องบ้าน เป็นประสบการณ์ตรงที่เด็กเรียนรู้จากชีวิตประจำวัน จึงเป็นเรื่องที่เด็กจะเรียนด้วยความสนใจและสนุก โดยปกติเด็กจะชอบเล่นสมมติที่มุมการเรียนรู้ เล่นเป็นพ่อ แม่ ลูก ในบ้าน เขาจะสนทนาเหมือนเขาเป็นพ่อแม่เสียเอง นั่นคือเด็กเล่นเลียนแบบ เป็นการเรียนรู้บท บาททางสังคมของเด็กปฐมวัย และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กล่าวถึงความหมายของครูและบทบาทหน้าที่ของครูไว้ประการหนึ่งว่า ครูทำหน้าที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยวิธีการต่างๆ ดังนั้นครูปฐมวัยจึงมีหน้าที่จัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นสุขให้แก่เด็ก โดยจัดหาสื่อ ให้ที่มุมการเรียนรู้โดยความร่วมมือกับผู้ปกครอง สื่อที่หาได้ง่ายๆและมีเกือบทุกครอบครัว เช่น ชุดเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของผู้ใหญ่ ตุ๊กตาใช้สมมติเป็นลูก มีเครื่องนอนให้ตุ๊กตา มีชุดเครื่องครัว เป็นต้น ที่มุมหนังสือ ควรมีหนังสือสำหรับเด็กเรื่องเกี่ยวกับบ้านไว้ให้เด็กอ่าน นอกจากนี้การเรียนเรื่องบ้านในกิจกรรมเสริมประสบการณ์ เทคนิคที่ครูใช้ได้ ได้แก่ การเล่านิทาน การร้องเพลง การเล่นเกม การเล่าประสบการณ์ เกี่ยวกับบ้าน การบันทึกเรื่องบ้าน การจัดรูปแบบการเรียนรู้แบบโครงการ เรื่องบ้าน ก็เป็นนวัตกรรมการสอนที่น่าสนใจ





  1. กนก มัธยมจันทร์ . ความรู้และจริยธรรมเพื่อชีวิต . กรุงเทพมหานคร : เพชรสยามการพิมพ์ . กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย . กรุงเทพมหานคร : เอดิสัน เพรส โปดักชั่น จำกัด .
  2. ประไพพรรณ ภูมิวุฒิสาร ( 2530 ) .ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาการเด็ก .ในเอกสารการสอนชุดวิชาพฤติกรรมวัยเด็ก หน่วยที่ 2 .นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
  3. ปาริชาติ สุขุม ( 2536 ) . รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวไทยในเมือง . ในเอกสารการสอนชุดวิชาครอบครัวและสิ่งแวดล้อม. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช .
  4. พระมหาวุฒิชัย (ว. วชิรเมธี ). ที่สุดแห่งความดี . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิพ์ดีเอ็มจี.
  5. สุพัตร สุภาพ . ( 2537 ) . “การขัดเกลาทางสังคม” ใน สังคมและวัฒนธรรม . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  6. สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ,สำนักงาน (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 .กรุงเทพมหานคร บริษัทพริกหวานกราฟฟิคจำกัด.
  7. ศึกษาธิการ,กระทรวง. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546.กรุงเทพมหานคร : โรงพมพ์คุรุสภา. ศูนย์ทนายความทั่วไทย. พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2543. 




















1.ดูทำเล บ้านมือสอง  เน้นพื้นที่ในย่านที่กำลังมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือฟื้นฟูจากสภาพไม่น่าอยู่ 
     
2.สำรวจสภาพแวดล้อมและเพื่อนบ้านโดยเข้าไปพูดคุยสำรวจสอบถามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในสภาพแวดล้อมควรเน้นเลือกแหล่งที่ยังคงเจริญต่อไป  และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่อชีวิตประจำวัน  เช่น  ใกล้โรงเรียน  ศูนย์การค้า  ตลาด  และโรงพยาบาล  ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าน้ำจะต้องไม่ท่วมและไม่มีมลภาวะทางกลิ่น  แสง  และเสียง

3.สภาพ บ้านมือสอง  เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ  เพราะมูลค่า บ้านมือสอง นอกจากจะขึ้นอยู่กับความต้องการและปริมาณสินค้าในตลาดแล้วยังขึ้นอยู่กับลักษณะตัว บ้านมือสอง เองด้วย  ให้ท่านสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินด้วยตัวเอง  เช่น  ตรวจดูขนาดทรัพย์สินว่าเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์หรือเปล่า  สภาพทรัพย์สิน  การปรับปรุงทรัพย์สิน  และการจัดการทรัพย์สิน
                       
4.ซื้อ บ้านมือสอง ที่ราคาค่าเช่าต่ำกว่าราคาเช่าในท้องตลาด  เพราะเราสามารถเพิ่มค่าเช่าได้

5.เลือกซื้อ บ้านมือสอง ที่มีเงื่อนไขเงินกู้สนับสนุน  เช่น  อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด  หรืออัตราดอกเบี้ย  0%  เพราะผลประโยชน์เหล่านี้คือส่วนลดจากราคาซื้อ บ้านมือสอง นั่นเอง

6.สอบถามเรื่องบริการชุมชนจากเพื่อนว่างานสารธาณูปโภคตลอดจนค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นอย่างไร  การดูแลรักษาสภาพโครงการสม่ำเสมอ  และเหมาะสมหรือไม่

7.ต้องคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอน บ้านมือสอง ที่จะซื้อ  และภาษีให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับภาระ

8.เปรียบเทียบกับราคาประเมินบ้านที่มีอยู่แล้ว  เช่น  ราคาซื้อขาย บ้านมือสอง ที่คล้ายคลึงในบริเวณที่ใกล้เคียง  ราคาประเมินของกรมที่ดิน  ของธนาคาร  และบริษัทประเมิน

9.ต่อรองราคาให้ราคาต่ำมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  การต่อรองราคาถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ต้องใช้เสมอ  ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายขั้นสุดท้าย  ให้ระลึกไว้เสมอว่าเงินทุกบาทที่ท่านต่อรองซื้อได้ต่ำกว่าราคาเสนอขาย  นั่นหมายถึงกำไรที่จะตกมาถึงท่านในที่สุดนั่นเอง

10.ตรวจสอบและขอหลักฐานเก่าๆ  ที่เป็นส่วนประกอบของสัญญาเดิมเอาไว้  เพราะเอกสารเหล่านี้มีผลในการบังคับให้เจ้าของโครงการต้องปฏิบัติตามที่ตกลงหรือสัญญาที่เคยระบุไว้


11.การเลือกซื้อโดยใช้บริการของ สถาบันการเงิน  จัดเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเลือกซื้อ บ้านมือสอง อย่างชาญฉลาดทางหนึ่ง  เพราะเป็นช่องทางที่มีบ้านมือสอง มาให้เลือกจำนวนมากขึ้น  และยังมีโอกาสได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือในด้านต่างฯ  ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ บ้านมือสอง ด้วย  เช่น  การพาไปดูบ้าน  การติดต่อด้านสินเชื่อและการราคาประเมิน  ซึ่งบริการเหล่านี้มักไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  หรือหากเสียก็น้อยมาก



เนื่องจากในปัจจุบัน มีอสังหาริมทรัพย์ในหลายหลายรูปแบบ จากการสร้างขึ้นใหม่และจากการเปลี่ยนผู้ถือครอง ทั้งยังมีหลายโครงการไม่ว่าจะเป็นอาคารชุด หรือบ้านจัดสรรและอื่นๆ รวมทั้งปัจจัยอีกหลายๆทาง เช่น การลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคาร หรือนโยบายการสนับสนุนทางภาครัฐ เพื่อส่งเสริมพัฒนาให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น แต่ด้วยความหลากหลายในสังคม บางคนต้องการหลีกห่างออกจากตัวเมืองหรือมีความต้องการไม่เหมือนกัน โดยที่บ้านจัดสรรหรืออาคารชุดไม่อาจมีให้ได้ ทำให้บางคนสนใจที่จะปลูกบ้านเองเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิต

      แต่การปลูกบ้านเองนั้นมีก็มีหลากหลายข้อคิดที่ต้องคำนึงถึง เช่น เรื่องที่ดิน ทำเลที่ตั้ง งบประมาณ ฟังก์ชั่นการใช้งาน  สไตล์รูปแบบของบ้าน  ตลอดไปจนถึงการตกแต่งภายใน หรือจัดสวน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าของวาดภาพไว้ตามที่อยากจะได้เป็นบ้านในฝันของตนเอง แต่ภาพเหล่านั้นอาจจะต้องพึ่งพาผู้ช่วยที่มีประสบการณ์และความสามารถ  เพื่อที่จะนำภาพบ้านในฝันของเจ้าของบ้าน ถอดออกมาเป็นบ้านได้อย่างสมบูรณ์
 1. ที่ดิน   ที่ดินคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของบ้านเลยก็ว่าได้ เนื่องจากความเหมาะสมของบ้าน ลักษณะทางกายภาพของที่ดินรวมถึงสภาพแวดล้อมล้วนที่ล้วนแล้วแต่มีผลต่อสภาพจิตใจของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางตรงและทางอ้อม ทางตรง เช่น สภาพภูมิอากาศ ร้อน หนาว ลม แดด ฝน เป็นต้น ทางอ้อม เช่น สภาพแวดล้อมรอบๆของที่ดิน หมู่บ้าน ตลาด โรงแรม โรงเรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการอยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยทั้งนั้น
1.1 ทำเล ที่ตั้ง และสภาพแวดล้อม   ทำเลที่ตั้ง คือสิ่งสำคัญในการสร้างบ้าน ดั่งตามที่กล่าวในข้างต้นไปแล้ว การเลือกทำเลที่ดินสำหรับผู้ที่ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเองนั้นควรจะศึกษาให้ดีก่อนว่าย่านนั้นหรือที่แถวนั้นเคยเป็นสถานที่ที่ใช้ประโยชน์เพื่อการใดๆ มาก่อนหรือเปล่า หรือเคยเป็นบ่อน้ำที่เจ้าของเดิมขุดหน้าดินไปขาย และรอบข้างมีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น หากทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้ฟาร์มหมู อาจจะได้รับกลิ่นไม่พึงประสงค์มา เป็นต้น อีกทั้งเรื่องของ แดด ลม ฝน ด้วย หากที่ดินของคุณหันหน้าเข้าหาทิศใต้แปลว่า บ้านของท่านจะได้รับแดดเกือบทั้งวัน ถึงแม้แสงอาทิตย์นั้นจะมีทิศทางขึ้นจาก ทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกก็จริง แต่จะอ้อมทางทิศใต้เสมอ ทำให้ได้แสงแดดเกือบทั้งวัน หากท่านต้องเปิดเครื่องปรับอากาศในเวลากลางวัน จะต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทำความเย็น ทำให้ต้องคำนึงถึงการลดภาระความร้อนในทิศใต้เผื่อไว้ด้วย
      ท่านควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมรอบๆที่ดินด้วย ว่ามีความสะดวกสบายในการออกไปทำธุระบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ตลาด สถานที่ชุมชน โรงพยาบาลใกล้เคียง หรือคลินิกก็ดี สถานีดับเพลิงหรือสถานีตำรวจ เรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ถ้าอยู่ใกล้กับสถานที่ดังกล่าวก็จะมีความสะดวกสบายมากขึ้น





1.2 ขนาดรูปแบบของที่ดิน ระดับของที่ดิน   รูปแบบของที่ดิน ก็คือ รูปร่าง ขนาด ระดับที่ดิน หรือเรียกว่าลักษณะทางกายภาพนั้นเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดรูปทรงของแบบบ้านว่าจะมีหน้าตาอย่างไร อย่างเช่น ที่ดินด้านหน้าแคบ ไม่กว้างมาก แต่มีความลึกเข้าไปด้านหลังมากกว่าด้านหน้า รูปแบบของที่ดินจะบังคับให้ท่านเลือกทรงบ้านได้จำกัด เช่นเดียวกับที่ดินหน้ากว้าง แต่ความลึกน้อยมาก อาจทำให้ได้บ้านที่มีรูปแบบจำกัด แต่ทั้งนี้ควรจะคำนึงถึงการใช้สอยของคุณด้วยว่าจะมีรูปแบบอย่างไร

      ที่ดินที่มีสภาพระดับดินต่ำกว่าถนนด้านหน้า หรือต่ำกว่าโดยรอบข้างนั้น จะมีปัญหายามฝนตก เพราะจะทำให้น้ำฝนไหลมาขังและท่วมในที่ดินของเรา ดังนั้นท่านจึงควรจะมีที่ดินที่สูงกว่ารอบข้างและสูงกว่าถนนด้านหน้าประมาณ 40 ซม. ขึ้นไป
      ปัจจุบัน (2554) ผู้รับเหมาถมดินคิดค่ารับเหมาถมดินหนา 1 เมตร โดยประมาณตารางวาละ 1,250 บาท ( 1 ไร่ = 4 งาน = 400 ตารางวา ) แต่ถ้าที่ดินของท่านมีขนาดเล็กหรือทางเข้าออกลำบาก หรือถนนทางเข้ามีสภาพทรุดโทรม ค่ารับเหมาถมดินก็จะมีราคาค่าถมแพงขึ้น ตามความยากง่าย โดยราคาที่ประเมินนี้ไม่รวมบดอัดดินให้แน่น

      บริษัทรับสร้างบ้านและออกแบบบ้านทั่วไป มักจะออกแบบบ้านให้ถ่ายน้ำหนักลงบนเสาเข็ม โดยเสาเข็มที่ใช้มีความยาวลึกลงไปในดินไม่น้อยกว่า 16 เมตร ดังนั้นท่านสามารถปลูกสร้างบ้านหลังจากถมดินไปแล้วได้ทันที หรือจะทิ้งช่วงให้ดินแน่นมากขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ (1 – 3 เดือน) จึงทำการก่อสร้างบ้านต่อไป

      ในกรณีที่ท่านยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ควรเลือกซื้อที่ดินที่มีรูปร่างเป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ควรเลือกที่ดินที่มีรูปเป็น สามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า และควรตรวจสอบจากผังเมืองว่าเป็นพื้นที่สำหรับปลูกสร้างบ้านพักอาศัยได้หรือไม่ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อที่ดิน















































































































1 ความคิดเห็น:

  1. Lucky Creek Casino & Hotel - JamBase
    The Lucky Creek 공주 출장마사지 Casino & 1xbet 먹튀 Hotel in 진주 출장샵 Hanover offers all-suite accommodations and 김포 출장샵 a variety of entertainment and dining options. Book your stay now 사천 출장마사지 at

    ตอบลบ